เชฟป้อม ควงลูกชายเล่าโมเมนต์ความสนิทลูกชาย

เชฟป้อม ควงลูกชายเล่าโมเมนต์ความสนิท พร้อมบอกเหตุผลทำไม ลูกชาย ไม่ยอมเป็นเชฟอาหารไทยเหมือนคุณแม่!

สุดยอดเชฟอาหารไทย อย่าง เชฟป้อม หม่อมหลวงขวัญทิพย์ ที่วันนี้ควงลูกชาย แอร์ กุลพล มาเปิดความสนิทที่คุยกันได้ทุกเรื่อง พร้อมเผยความรักครั้งใหม่ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่องOne31 ที่มี เบนซ์ พรชิตา และเป็กกี้ ศรีธัญญา เป็นพิธีกรดำเนินรายการ

เชฟมีลูกกี่คน?

เชฟป้อม : 3 คน ชายล้วน

3 คน คุณแอร์คิดว่าใครสนิทกับคุณแม่ที่สุด?

แอร์ : ไม่สนิทเลย ล้อเล่นครับ สนิทพอๆ กัน

เชฟป้อม : สำหรับลูก 3 คน วิธีพูดกับวิธีคุยบางเรื่องไม่เหมือนกัน

เรื่องสาวคุณแอร์คุยกับคุณแม่ได้ไหม?

แอร์ : ได้ครับ ไม่เคยรู้สึกว่าอันไหนต้องคุยกับแม่ หรือคุยกับพ่อ ใครอยู่ตรงนั้นก็คุย

มีเหตุการณ์หนึ่ง ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญของครอบครัว เป็นการตัดสินใจที่จะแยกทางกับคุณพ่อ ตอนนั้นคุยกันกับลูกไหม?

เชฟป้อม : ตอนนั้นคุยกับลูก 3 คนไม่เหมือนกัน 1 กับ 3 ค่อนข้างต่างกับพี่ แต่คนที่2 เหมือนพี่ คือแรงเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจะพูดอะไรเราจะต้องตะล่อมก่อน 1 กับ 3 คุยด้วยกันเลย แล้วเอา 1 กับ 3 เป็นพวกไปคุยกับคนที่ 2 มันก็จะเข้าใจง่ายขึ้น แต่ลูกก็เข้าใจเหตุการณ์ไม่ได้มีปัญหาอะไร

ทำไมคุณแอร์เลือกที่จะเข้าใจคุณแม่?

แอร์ : จริงๆ ไม่มีอะไรให้ไม่เข้าใจ แค่คนสองคนเขาไม่อยากอยู่ด้วยกัน เขาก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกัน ในความคิดของเราคือ ตราบใดที่มีคนจ่ายค่านู้น ค่านี้ ชีวิตทุกอย่างมันยังเหมือนเดิม แต่ก็ไม่ค่อยสนใจว่าใครเป็นคนจ่าย แต่ชีวิตเราไม่เปลี่ยน แต่ชีวิตเขาเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นในการที่เขาเลิกกันมันก็เป็นเรื่องที่ดี และเป็นโบนัสของเรา เราไม่ต้องฟังคนทะเลาะกันในบ้านอีกแล้ว

เชฟป้อม : ที่ลูกพูดก็ถูกนะ เราไม่ตั้งใจให้ลูกเปลี่ยน ให้ลูกมีผลกระทบน้อยที่สุด ลูกเคยอยู่อย่างไงก็อยู่อย่างนั้น ได้อะไรก็ได้อย่างนั้น แล้วพอดีพี่เลือกจะกระทำการนี่ตอนที่คนเล็กอายุ 15 แล้ว ซึ่งค่อนข้างโตมาระดับนึงพูดรู้เรื่อง ลูกต้องเปลี่ยนแปลงน้อยสุด อยู่ที่เดิม เรียนที่เดิม

ต้องเลือกไหม คุณพ่อ คุณแม่ แยกทางกัน ลูกต้องอยู่กับใคร?

แอร์ : ไม่มี เพราะเหมือนเขาน่าจะทำการบ้านมาอยู่แล้ว คือให้คุณแม่อยู่ในบ้านเพื่อดูแล ในบ้านที่เราอยู่เพื่อดูแลลูกๆ คุณพ่อก็อยู่บ้านเดียวกัน แต่อยู่คนละตึก

เชฟป้อม : เราก็ขีดเส้นมีอาณาเขตกันอยู่ก็โอเค แล้วลูกก็แฮปปี้เหมือนเดิม

ความเป็นเชฟป้อมดูผ่านหน้าจอทีวีดุมาก ที่บ้านคุณแม่เป็นแบบไหน ตลกไหม?

แอร์ : จริงๆ ก็เป็นแบบนั้น เขาปล่อยมุข เราก็ขำตามมารยาทอะไรอย่างนี้ มุขมันคนละยุคไงเลยตามไม่ค่อยทัน ในทีวีดุ ชีวิตจริงก็เป็นอย่างนั้น

เชฟป้อม : ก็เป็นเรื่องๆ ไป คือเตือน สอนแล้ว ดี ชั่วรู้เอง พอถึงเวลาที่จะโตต้องตัดสินใจเอง ผิดถูกไปลองเอา แต่อยู่ด้วยกันอย่าโกหก เพราะว่าพี่เคยบอกถ้าลูกทำผิด แม่จะเป็นคนที่เสียใจที่สุด แต่แม่จะเป็นคนแรกที่ให้อภัย ถ้าลูกโกหกปุ๊ป เราไปไม่ถูกแล้ว การที่แม่ช่วยไม่ถูก ไม่ได้ช่วยให้ผิดเป็นถูก แต่เราจะช่วยและผ่านมันไปด้วยกันให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

เรื่องเซ็กส์เราจะมีวิธีการพูดคุยยังไงกับลูก?

เชฟป้อม : ลูกชายทั้ง 3 คนเป็นผู้ชายทั้ง 3 คน ดังนั้นพี่น้องคุยกันได้ มีอยู่วันนึงพี่ไปข้างนอกมา พี่เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น เด็กพวกนี้ดูหนังอยู่ พอพี่เดินเข้ามา เขาบอกคุณแม่เข้ามาทำไม ออกไปๆ โอเค ข้อแรกลูกฉันเป็นผู้ชาย ข้อสองป้องกันดีๆ ล่ะ เวลามีหญิงอย่าให้แม่ผู้หญิงเขามาถอนหงอกดิฉันนะคะ คุณทำอะไร คุณก็ระวัง สมัยนี้ห้ามกันไม่ได้ แต่ลูกป้องกันได้ ขับรถแล้วลูกพูดเรื่องทะลึ่งอะไรกันไม่รู้ เห้ยๆ แม่นั่งอยู่นะ เขาก็บอกก็เห็นรู้เรื่องทุกที

สเปคลูกสะใภ้วางตั้งไว้ยังไง?

เชฟป้อม : ไม่มี ถามเขาได้เลย เพราะคนนี้คนเดียวที่มีแฟนจริงจังมาเป็นเวลานาน ถามว่ามีเรื่องแม่ผัวลูกสะใภ้ไหม พี่ไม่มีจริงๆ เพราะพี่จะคุยกับลูกว่าเธอจะอยู่ อยู่เองนะ ไม่เกี่ยวกับแม่ เธอเลือกใคร เธอต้องอยู่กับเขาได้ แล้วไม่ต้องมาลุกขึ้นแต่งงาน เพราะแม่อยากมีลูกสะใภ้ ลุกขึ้นมีลูก เพราะบอกว่าแม่อยากมีหลาน ไม่เลย ไม่ได้อยากสักอย่าง มันอยู่ที่ลูกทั้งนั้น เคยสอนเขาว่าทำอะไรก็จฝตาม ต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง เช่น ถ้ากินเหล้า อย่าขับรถนะ ถ้าโดยจับ โดนปรับจ่ายเองนะ แม่หม่ยุ่งเลยนะ ดังนั้นการที่เขาจะเลือกใครมาเป็นคู่ชีวิตเขา เขาก็ต้องรับผิดชอบและเรียนรู้ในสิ่งที่เขาเลือกมา เลิกก็เลิก อยู่ไม่ได้แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไรชีวิตเขาอะ

เคยมีพี่เราหรือเรามีแฟนแล้วแม่ไม่ชอบ แล้วแม่แสดงอาการอะไรไหม?

แอร์ : ไม่มีครับ

เชฟป้อม : ไม่มีเป็นแฟนขนาดนั้น แต่ว่าเคยมีครั้งหนึ่งจำได้ว่าดึกมากแล้ว เสียงวิ่งลั่นบ้านเมื่อก่อนเกือบประมาณตี2 หรือตี4 ประมาณนั้น พี่ก็ตกใจเปิดประตู พอได้ยินเสียงเปิดประตูก็มีเสียงวิ่งบันไดไม้หนีพี่ไป ก็เลยเดินตามไป เป็นเด็กผู้หญิงกลุ่มหนึ่งเพื่อนของลูกชาย คือไปเที่ยวกันมาแล้วเข้ามาที่บ้านก็คือมีการดื่มอะไรมา แต่ยังไม่ใช่แฟนใครนะ เพียงแต่หงุดหงิดอะฉันตื่น ฉันก็โกรธ ถามว่ามาทำไรตอนนี้ เขาก็บอกว่าไปเที่ยวกลับมาจากผับ เที่ยวขนาดนี้แล้วบุกบ้านผู้ชาย อย่าเอามาทำเมียนะ แล้วพี่ก็ขึ้นไปนอน แต่ไม่ได้มองหน้าว่าเป็นใครนะ ง่วงแล้วเห็นว่าเด็กผู้หญิง ถ้าจะมาก็เดินเบาๆ ได้ไหม ไม่ต้องดังขนาดนั้น คือไม่ได้มีเหตุอะไรเลยที่ไปว่าเขา เราก็แค่หงุดหงิด

แอร์พาแฟนมาหาแม่ครั้งแรกเป็นยังไง?

แอร์ : ก็ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น

เชฟป้อม : ก็เหมือนกินข้าวเพื่อนลูก อย่างคนนี้ก็น่ารักดี ดูเข้ากันได้ดี ดูเป็นผู้หญิงไม่มาง๊องแง๊งกับเขา

แล้วเวลาคุณแม่มีความรักช่วยกันแสกนไหม?

แอร์ : ไม่แสกนครับเอาจริงรู้สึกโตแล้ว เลือกเองได้แล้ว เราไม่ได้ไปร่วมบ้าน ร่วมเตียงกับเขา เอาจริงขายออกก็ดีแล้ว

เชฟป้อม : มันมีโมเมนต์ประทับใจ เขาเป็นลูกคนเล็ก ตอนนั้นเขาอายุ 25 ได้ เขาเรียนจบแล้ว เขาก็มีงานของเขาเรียบร้อยแล้ว วันนึงเขามาคุยกับพี่เอง เขาบอกว่าคุณแม่ไม่ต้องห่วงพวกผมนะ ผมอะเป็นลูกคนเล็ก ถ้าผมบอกว่าอยู่ได้ พี่สองคนก็ต้องอยู่ได้ เพราะฉะนั้นคุณแม่ไปมีชีวิตของตัวเองได้แล้ว อยากทำอะไรก็ทำ พอพูดเสร็จหวานหมู

คนมาจีบคุณแม่เยอะไหม?

แอร์ : ไม่เห็นตอนจีบ ถ้าได้เจอก็ตอนที่เขารู้สึกโอเคกับคนนี้แล้ว

เวลาแม่มีความรักเขาเป็นสาวกุ๊กกิ๊กไหม?

แอร์ : คงไม่ทำให้ผมเห็น

เวลาแม่มีแฟน แม่เขาคลั่งรักไหม?

แอร์ : ไม่คลั่งนะค ถ้าคลั่งรักก็ต้องยอมทุกอย่างถูกไหม แต่เขาอยู่ในจุดที่ว่าถ้าอีกฝ่ายอยู่ในจุดที่ไม่โอเคก็ไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนหรือต้องทน

เชฟป้อม : แต่รู้ไหม ปรึกษาลูกจ้า ที่รู้สึกต้องทนก็ปรึกษาลูก เอาไงดี ถึงได้บอกว่าคุยกันทุกเรื่องจริงๆ 

ปรึกษาครบ 3 คนไหม?

เชฟป้อม : ก็ชวนกินข้าวก็ถามๆ แล้วแต่บางครั้งคุยในบางเรื่องไม่ว่าจะเป็นธุรกิจหรืออะไรก็อาจจะต้องคุยเป็นคนๆ 

ความรักนี่ปรึกษาทั้ง 3 คนเลยไหม?

เชฟป้อม : จริงๆ ตัดสินใจมาแล้ว แค่แจ้งให้ทราบ

แอร์ : คบก็แจ้งให้ทราบ เลิกก็แจ้งให้ทราบ อย่างช่วยดูคนนู้น คนนี้ เราก็ไม่มีใครตัดสิน เราไม่รู้จักเขาดีเท่าที่แม่รู้จัก ถ้าจะเลือกพลาดก็คือพลาดเอง แต่มันไม่ควรที่เราไปบอกเขาว่าคนนี้ไม่ดี อย่างนู้น อย่างนี้ มันไม่แฟร์ต่อใครเลย

เชฟคลั่งรักไหม?

เชฟป้อม : ไม่ แก่แล้วไง พออายุเยอะแล้วเหตุผลมันมากกว่า มันไม่ใช่เด็กสาวๆ เอางี้ดีกว่า สาวๆ นี่รักใครก็ยอม จริงๆ ไม่เป็นอย่างนี้ตลอด รับได้ก็รับ แล้วเป็นตัวของเราเอง

ลูกๆ ชอบให้มีความรักหรือไม่มีความรักมากกว่ากัน?

แอร์ : ไม่ต่างครับ

เชฟป้อม : ถ้ากับลูกก็คือเหมือนเดิม

แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่ติดอยู่ในตัวแล้วเราก็เรียกตลอด นั่นคือเชฟ คุณแอร์เป็นคนเดียวเลยที่ได้คุณแม่มา ถือว่าได้รับมรดกทางสายเลือดจากคุณแม่มาเลย?

แอร์ : ไม่รู้ทางสายเลือดหรือเปล่า แต่มันก็ใช่ มันอยู่ที่การเลี้ยงดูกันมา 

แต่คุณแม่ไม่ได้สอนใช่ไหม แบบมาเข้าครัวกัน เดี๋ยวคุณแม่สอนทำอันนี้?

แอร์ : สอนทำอะใช่ อยู่ที่ว่าถ้าขอก็สอน แต่ส่วนใหญ่นั่งฟังคุณแม่กินอาหารข้างนอกแล้วเขาบ่นอาหารของน้องคนนี้มากกว่า มันก็ได้ตรงนั้นมา

เชฟป้อม : ในที่สุดพอกินแล้วไม่อร่อย หรือว่าอะไรที่จานนั้นพลาดเขาก็จะรู้ว่าเป็นเพราะอะไร

แต่ก็ต้องมีใจที่ต้องการซึมซับด้วยนะ เพราะแม่ก็พูด ทุกคนก็นั่งอยู่ตรงนั้น แต่ว่ามีคุณแอร์คนเดียวที่ได้ยินชัดที่สุด?

เชฟป้อม : พี่ก็พี่น้อง 4 คน แม่สอนมาเท่ากัน แต่ทำไมพี่เก็บละเอียดหมดเลย แม่เคยบอกว่าอย่างนั้น แม่เคยบอกว่าอย่างนี้ มันอาจจะเป็นแพชชั่นที่เราไม่รู้ว่าเราชอบทำอาหารขนาดนั้น

คุณแม่สอนวิธีการเคี้ยวไม่ต้องรีบ ให้ค่อยๆ ไปให้รู้ทุกรสชาติในเท็กซ์เจอร์ของการรับประทานเข้าไปเลย?

แอร์ : ผมว่าจริงๆ แค่ไม่อยากให้แย่งกันกิน จริงๆ บอกว่าเวลากินต้องซึมซับรส แต่จริงๆ คืออย่าแย่งกันกิน มันเลอะเทอะ

แต่เห็นว่าเป็นข้อดีที่คุณแอร์รู้เลย?

แอร์ : ตอนเด็กๆ ก็จะรู้แค่ว่าแบบนี้ไม่ใช่ แบบนี้ใช่ พอเราโตมาประกอบอาชีพนี้เราก็จะรู้มากขึ้นว่าแบบนี้ไม่ใช่เพราะอะไร และทำยังไงให้มันใช่ แต่ถ้าถามก็คือตอนนั้นสอนหรือเปล่า ก็น่าจะเป็นกุศโลบายที่ทำให้ไม่ตีกันบนโต๊ะอาหารและแย่งข้าวกัน

เชฟป้อม : มีคนแซวว่าที่บ้านเนี่ย พอยกอาหารมาเหมือนเททิ้งใต้โต๊ะ วางปุ๊บหาย

มีอะไรที่แม่ทำแล้วไม่อร่อย แต่ไม่กล้าบอกไหม?

แอร์ : ไม่ได้เชิงไม่อร่อยนะ แต่ถ้าสมมติไปกินอาหารญี่ปุ่น หรืออาหารอิตาเลียน คือแม่เป็นเชฟอาหารไทย แล้วเวลาที่เขาทำอาหารพวกนั้นอยู่ที่บ้านมันจะเป็นรูปแบบของโฮมคุก คือไม่ได้มาพิถีพิถันกับอาหารตรงนี้เหมือนที่ร้านอาหารเขาทำกัน แต่บอกไม่ได้นะ บอกแล้วงอน ก็ไปกินที่ร้านสิ ทีหลังจะไม่ทำให้กินแล้ว ก็เลยไม่พูดเดี๋ยวอดกินข้าว

มีความสุขกับการทานอาหารของคุณแม่ แต่คุณแอร์ไม่ยอมเป็นเชฟอาหารไทย เพราะอะไร?

แอร์ : ผมไม่คิดว่าผมจะทำอาหารไทยให้ถูกปากคนอื่นหลายๆ คนได้ อย่างตัวผมเอง ผมกินอาหารไทยแบบบ้านเรา มันจะมีการลดทอนความเผ็ด ความแซ่บอะไรพวกนี้ เพราะผมไม่กินเผ็ด

เชฟป้อม : แม่ทำให้ไง พี่เลาะเม็ดทิ้งหมด แต่กลิ่น สีเท่าเดิม แล้วอีกอย่างเขาเคยพูดทำอาหารไทยไม่ผมเสียก็คุณแม่เสีย คนชอบเอาไปเปรียบเทียบเอง แบบเนี่ย สู้แม่ไม่ได้ หรือบางทีโห…เก่งกว่าแม่อีก มันก็คนใดคนนึง พี่ก็เลยอย่าดีกว่าไปคนละทางดีแล้ว

แอร์ : ถ้าวันนึงเราต้องใช้อาหสรไทยขึ้นมาในธุรกิจของเราก็แค่ให้คุณแม่ทำ

ตอนนี้คุณแอร์เลยไปเป็นเชฟอาหารจีน?

แอร์ : ใช่ครับ

คุณแอร์เลือกเส้นทางเดียวกับคุณแม่ คือเป็นเชฟ ซึ่งคุณแม่เป็นเชฟที่ดังระดับประเทศเลย คุณแอร์มีความกดดันไหม?

แอร์ : ไม่กดดันครับ รู้สึกดีด้วยซ้ำที่แม่ดัง เราจะได้เกาะเขาไปได้ คนอื่นเขาจ่ายเงิน แม่ทำนู้น ทำนี่เท่าไหร่ไม่รู้ ผมได้ฟรี สบาย

เชฟป้อม : พี่เป็นคนที่พอเข้ามาอยู่ในบ้าน พี่ก็เป็นแม่ เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง พี่ไม่ใช่คนเก่ง ก็อยู่ลูกกับแม่ ไม่ได้รู้สึกว่าเราเป็นใครหรือลูกอะไรอย่างนี้

เชฟป้อมเขาเป็นไอดอลของเราไหมเชฟแอร์?

เชฟป้อม : ไม่น่าใช่

แอร์ : ถ้าให้ตอบตรงๆ คือไม่ใช่ในฐานะทำอาหาร หรือฐานะอาชีพ แต่ก็ไฟท์เตอร์คนนึง ทำให้เรารู้สึกว่าถ้าเขาผ่านเรื่องที่เขาผ่านมาได้ เราก็ต้องผ่านเรื่องที่เราเจออยู่ได้เหมือนกัน เรียกว่าไม่ใช่ไอดอล เรียกว่าเป็นตัวอย่างที่ดี

เวลาแสดงความรักต่อกันเป็นแนวหวานเลยใช่ไหม บอกรักกันทุกวันเลยใช่ไหม?

แอร์ : ไม่มี

เชฟป้อม : ไม่มี ไม่หวานเลย มากสุดก็กอดลูก แต่กอดอะทำ แต่ไม่ต้องแบบแม่รักลูกนะ ไม่จำเป็นต้องบอก หนึ่งในสัมผัสและที่ทำมาทั้งชีวิตลูกก็รู้อยู่แล้ว เวลาลูกทำอะไรให้เราภูมิใจ แค่กอดแน่นๆ มันก็รู้แล้วว่าแม่ภูมิใจนะ 

คุณแม่ภูมิใจในตัวลูกคนนี้ขนาดไหน?

เชฟป้อม : เขามีความเป็นตัวเอง มีการตัดสินใจที่ดี ก้าวเดินในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นอาชีพการงานหรือชีวิตส่วนตัวที่ดี แล้วเหมือนเตรียมพร้อมทุกอย่าง จะก้าวหนึ่งก้าวก็จะไปดูว่าจะไปเหยียบอะไรที่มัน้ป็นอุปสรรคไหม เขาจะค่อยๆ เดินของเขาไปเรื่อยๆ แต่ก้าวของเขามั่นคง ซึ่งเราเห็น

มีคุณแม่เป็นเชฟป้อม ภูมิใจคุณแม่ขนาดไหน?

แอร์ : จริงๆ ก็นับว่ามากเลย เรามีแม่ที่ปล่อยให้เราเลือกทางของเราเอง จัดการเอง มีอะไรก็คอยช่วย เราเกิดมาก็เลือกแม่ไม่ได้เนาะ แต่ทีนี้เราได้แม่ที่ดีแบบนี้โชคดีมาก

ติดตามชมรายการคุยแซ่บShow ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา13.15-14.15 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama

คลิปสัมภาษณ์ เชฟป้อม-เชฟแอร์